เจ้าพายุ 1 12 61
ในปัจจุบันพบว่า มีการบำบัดที่หลากหลายสำหรับคนที่มีอาการของโรค Clinomania ซึ่งมีตั้งแต่วิธีการตามธรรมชาติ เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหารให้เหมาะสม การฉีดยาหรือกินยาในกลุ่ม Serotonin เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรตัดสินใจเองว่าตัวเองเป็น หรือไม่เป็นโรคนี้ แต่ถ้าสงสัยควรไปหาหมอ เพื่อที่จะได้รับการประเมินตนเองโดยคุณหมอด้านจิตวิทยาที่มีประสบการณ์.
กลุ่มผู้มีอาการนอนหลับไม่เพียงพอ อาการผิดปกติเริ่มต้นของผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพออาจเป็นการนอนตื่นสายมากขึ้น ง่วงนอนตลอดเวลาในช่วงกลางวัน มีกลิ่นตัวแรง รู้สึกหงุดหงิดและเครียดง่ายกว่าเดิม หากทำแบบนี้ต่อไปนานๆ อาจมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังเพราะร่างกายและสมองของผู้ป่วยชินกับการนอนดึกไปแล้ว ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ อีกมากมาย เช่น แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ ตรวจการนอน Sleep Test วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 855 บาท ลดสูงสุด 750 บาท จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สมองเฉื่อยชา สมองล้า กลายเป็นคนไร้ชีวิตชีวา 2. เชื่องช้า เพราะติดนอนไม่อยากลุกไปไหน เป็นผลให้กระดูกพรุน ข้อเสื่อม 3. น้ำหนักเกินมากกว่าเดิม เพราะเอาแต่กินกับนอน 4. กลายเป็นคนซึมเศร้า เพราะฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน โดยเฉพาะสารความสุขลดต่ำลง 5. เศร้าง่าย เครียดง่าย ไม่เอาการเอางาน ทั้งนี้ยังมีงานวิจัยอีกว่า การนอน 9-10 ชั่วโมง ต่อวัน มีแนวโน้มถึง 25% ที่จะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 5 กิโลกรัม แต่นอนน้อยเกินไปก็ใช่ว่าจะดีนะคะ ฉะนั้นพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และมีสุขภาพจิตที่ดีแล้วค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก และ
สร้างบรรยากาศห้องนอนที่เหมาะสมโดยมีความเงียบสงบและไม่ร้อนไปหรือหนาวไป 4. ควรปิดไฟขณะนอนหลับ 5. ใช้เตียงนอนสำหรับการนอนหรือกิจกรรมทางเพศเท่านั้นไม่แนะนำให้ทำกิจกรรมอื่นบนเตียงเช่น ดูโทรทัศน์, อ่านหนังสือ เป็นต้น 6. ก่อนเวลานอนซัก 1 ชั่วโมงควรผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลงสบายๆ, อ่านหนังสือ, นั่งสมาธิ, ทำกิจกรรมเบาๆ ที่ทำให้ไม่ตื่นเต้นและไม่เครียด 7. ไม่ควรทำกิจกรรมที่ผลทำให้ตื่นเต้นก่อนนอน เช่น เล่นอินเตอร์เนต, เล่นเกมส์, ดูโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ ที่มีความตื่นเต้น 8. ไม่ควรดื่มชา, กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนการนอน 9. ไม่ควรทานอาหารมื้อใหญ่ อย่างน้อย 4 ชม. ก่อนการนอนหลับ 10. สามารถนอนงีบได้ในเวลากลางวันโดยงีบไม่เกิน 20 นาทีและไม่ควรงีบหลับหลังบ่ายสามโมง 11. ระหว่างนอนหลับไม่ควรดูนาฬิกาเนื่องจากจะทำให้เกิดความกังวล 12. ไม่ควรดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้วก่อนนอนและแนะนำให้ปัสสาวะก่อนเข้านอน 13. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้หลับถึงแม้ว่าจะช่วยให้หลับได้แต่ทำให้การนอนไม่มีคุณภาพ หากจะดื่มแนะนำให้ดื่มอย่างน้อย 4 ชม. ก่อนเข้านอน 14.
น้องหมามีอาการท้องเสีย ในกรณี " น้องหมาท้องเสีย " อย่างเช่น ถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายบ่อยมากกว่า 1-2 ครั้งต่อวัน หรือท้องเสียเป็นมูกเลือด สาเหตุอาการหมาป่วยนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อทางเดินอาหาร รวมถึงเกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารได้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานของน้องหมาผิดปกติ ทั้งนี้อาการท้องเสียที่พบในน้องหมาอาจจะรุนแรง หรือไม่รุนแรงก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุนั้นๆ ด้วย แต่ขอย้ำ!! เราไม่ควรให้สุนัขหรือน้องหมากินยาแก้ท้องเสีย ยาธาตุน้ำขาวของคนเด็ดขาด เพราะยาของคนกับของสัตว์เป็นยาคนละประเภทกัน อาจทำให้เกิดอันตรายต่อน้องหมาได้ 4. น้องหมาอาเจียนบ่อย เมื่อเราสังเกตเห็น "น้องหมาอาเจียน" หรือมีอาการสำรอกออกมา โดยตามธรรมชาติแล้วมันอาจจะเผลอกินอาหารที่ผิดสำแดงไป แต่ถ้ากรณีที่น้องหมาอาเจียนบ่อยๆ แล้วไม่ยอมหายสักที นั่นเป็นหนึ่งสัญญาณเตือนว่าน้องหมาไม่สบายอยู่ อย่างเช่น น้องหมามีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หรือระบบน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงาน เป็นต้น จึงทำให้น้องหมาอาเจียนออกมาได้ 5. น้องหมามีอาการไอเรื้อรัง นอกจากนี้ปัญหา "น้องหมาไอบ่อยๆ" ก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามไป เพราะจะบ่งบอกอาการหมาป่วยด้วยหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัด ทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ รวมถึงโรคพยาธิหัวใจที่น้องหมาจะมีอาการไอแห้ง เหมือนมีอะไรติดคอ บางตัวก็ไอแบบมีเสมหะปนมาด้วย ตามปกติแล้วน้องหมาจะไอเพื่อขับเสบหะอยู่แล้ว แต่ถ้าเราพบเห็นน้องหมามีอาการไอมากเกินไป ก็ควรพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพก่อน เราจะได้รู้ด้วยว่าน้องหมาป่วยเป็นอะไรกันแน่ 6.
การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis) เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง อาจต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 6-10 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง 5.
"ไม่มีการพักผ่อนแบบไหนที่จะดีต่อร่างกายไปกว่าการ นอนหลับ " เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้าง และตามหลักแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่หากเรานอนมากเกินไป ร่างกายของเราจะส่งผลเสียอย่างไรหรือไม่ Sanook! Health มีคำตอบมาฝากค่ะ นอนมากเกินไป เสี่ยงโรค?
แน่นอนไม่มีใครชอบตื่นตอนเช้าตรู่ทุกวันๆ หรอก คนส่วนใหญ่พยายามที่จะขอนอนต่ออีกหน่อย หรือลุกมาเลื่อนนาฬิกาปลุกออกไป ทีละ 10 นาทีไปเรื่อยๆ หลายรอบ กว่าจะงัดตัวเองขึ้นมาอาบน้ำได้ช่างยากเย็น ตื่นมาก็อัดๆ กาแฟเข้าไป ทำให้ตื่นเต็มตา พร้อมไปทำงาน หลายคนเลยไม่ทันได้เอะใจว่า อาการที่ชอบนอนนานๆ นั้น ที่จริงอาจเป็นอาการที่แสดงออกของโรคทางจิตวิทยา รู้หรือไม่?
17 Jun 16 ปัญหาการนอนไม่ได้มีเพียงแค่การนอนน้อยหรือนอนหลับไม่เพียงพอเท่านั้น แต่การนอนมากเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งตัวปัญหาที่ทำร้ายร่างกายของคุณได้ วันนี้เราจึงมี 7 ข้อเสียเมื่อคุณนอนมากเกินไป มานำเสนอ เพื่อให้คุณตรวจสอบตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่สุขภาพจะพัง 1. เพิ่มความเสี่ยงโรคซึมเศร้า ผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมง มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 27 ขณะที่ผู้ที่นอนหลับนาน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นจะมีโอกาสเสี่ยงมากถึงร้อยละ 49 2. ทำลายสมอง มีการศึกษาในปี 2012 พบว่าหญิงชราที่นอนหลับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปนานติดต่อกันมากกว่า 6 ปี สมองจะเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงาน เช่นเดียวกับหญิงสาวซึ่งนอนหลับมากกว่า 9 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 5 ชั่วโมงก็จะมีสมองที่แก่เร็วกว่าปกติถึง 2 ปี 3. ตั้งครรภ์ยากขึ้น ในปี 2013 ทีมวิจัยของเกาหลีได้วิเคราะห์พฤติกรรมการนอนหลับของผู้หญิงที่มีปัญหาในการตั้งครรภ์มากกว่า 650 คน พบว่าอัตราการตั้งครรภ์จะสูงที่สุดในกลุ่มของผู้หญิงที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมงและต่ำที่สุดในกลุ่มของผู้หญิงที่นอนหลับระหว่าง 9-11 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบสาเหตุที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แม้เราจะรู้ว่าพฤติกรรมการนอนหลับสามารถส่งผลต่อระบบนาฬิกาชีวภาพ การหลั่งฮอร์โมน และรอบเดือนได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยากเนื่องจากมีปัจจัยที่ยากเกินการควบคุมมากเกินไป 4.
ภาวะทางจิตใจ เช่นภาวะซึมเศร้า, ภาวะวิตกกังวล 5. ภาวะกังวลว่าจะนอนไม่หลับ (psychophysiological insomnia) ผู้ป่วยจะกังวลกับปัญหาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นซึ่งความวิตกนี้เองทำให้เกิดการตื่นตัวของร่างกายและจิตใจผลจึงทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ 6. การใช้ยาหรือสารบางอย่าง เช่นยาแก้หวัด, ยากลุ่ม psudoepheridrine, ยาลดน้ำหนัก, ยาแก้หอบหืด, ยาต้านซึมเศร้า, ยากลุ่ม methylphenidate นอกจากนี้เครื่องดึมที่มีคาเฟอีน, นิโคตินและแอลกอออล์ก็มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ 7. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่นเสียงหรือแสงที่มารบกวน, อุณหภูมิห้องที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น 8. ปัญหาการทำงานเป็นกะ (shift work) การวินิจฉัยโรค อาศัยการซักประวัติเกี่ยวกับการนอนหลับ, สภาวะร่างกายและจิตใจ ร่วมถึงการประเมินสาเหตุอื่นๆข้างต้น นอนจากนี้การทำแบบบันทึกการนอน (sleep diary) สามารถทำให้ทราบถึงลักษณะการนอนเวลาหลับ เวลาตื่นที่ผิดปกติได้ การรักษา การรักษาโดยไม่ใช้ยา: การสร้างสุขอนามัยที่ดีของการนอน (sleep hygiene) 1. เข้านอนตรงเวลาและตื่นตรงเวลาเป็นประจำในเวลาใกล้เคียงกันทุกวันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำโดยแนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิค สำหรับเวลาที่เหมาะสมควรเป็นช่วงเวลาเช้าและไม่ควรออกกำลังกายก่อนเวลานอน 2 ชั่วโมง 3.