เจ้าพายุ 1 12 61
ศ. 2513 หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นเจ้าอาวาสท่านให้ความสําคัญกับการฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นพิเศษ จึงมีพุทธศาสนิกชนจากทั่วประเทศเดินทางมายังวัดป่าสาลวัน เพื่อฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับท่านอย่างล้นหลาม 0 แนวทางปฏิบัติ ตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน 0 ระเบียบปฏิบัติ ● ปฏิบัติธรรมฟรี ● สวมใส่ชุดขาวหรือชุดปฏิบัติธรรม ● เตรียมเครื่องใช้ในการดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน โดยปราศจากเครื่องหอม (ถือศีล 8) […]
จบพิธีอุปสมบทแบบอุกาสะ ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก:
ให้ประเมินผลทุกๆ ๑-๓ ชั่วโมง หรือวันละ ๓-๔ ครั้งและให้ทำทุกวัน ให้สังเกตดูตัวเองว่า เบากายเบาใจกว่าแต่ก่อนหรือไม่เพราะเหตุใด ๑๑. ก่อนนอนทุกคืน ให้อยู่กับสมาธิในอิริยาบถนอนตะแคงขวา(สีหไสยาสน์) หรือเจริญสติจนกว่าจะหลับทุกครั้งไป ถ้าไม่หลับให้นอนดู "รูปนอน" จนกว่าจะหลับ ๑๒. เมื่อประเมินผลแล้วให้สำรวจตรวจสอบ เป้าหมาย คือ การเพียรให้มีสติระลึกรู้อยู่อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ให้สังเกตดูว่ามีความก้าวหน้าอย่างไรบ้างหรือไม่ หากยังไม่ก้าวหน้า ต้องค้นหาสาเหตุแท้จริงแล้วรีบแก้ไขให้ตรวจสอบดูว่าท่านได้ปฏิบัติถูกทางหรือไม่ หาสัตบุรุษผู้รู้หรือกัลยาณมิตรเพื่อขอคำแนะนำ ไม่ควรขอคำแนะนำจากเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกัน เพราะอาจหลงทางได้ ๑๓. ให้พยายามฝึกทำความเพียร เฝ้าใส่ใจในความรู้สึกให้แยบคาย(โยนิโสมนสิการ) พยายามแล้วพยายามอีก ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่คิดว่ายากมากๆ จนกลายเป็นง่าย และเกิดเป็นนิสัยประจำตัว ๑๔.
นอน การนอนกำหนด ก. หลักการปฏิบัติ สะยาโน วา สะยาโนมหีติ ปะชานาติ. นอนอยู่ก็กำหนดรู้ว่า ข้าพเจ้านอนอยู่ ข. วิธีการปฏิบัติ ๑. มีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้ในอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ๒. ขณะเอนกายลง เพื่อจะนอนพึงกำหนดว่า "เอนหนอ ๆ ๆ" ๓. ขณะที่ข้อศอก ตะโพก แผ่นหลัง ศีรษะหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสพื้น พึงกำหนดทันทีว่า "ถูกหนอๆ ๆ" ๔. ขณะที่นอนแบบตะแคงขวาหรือหงายขนานราบกับพื้นพึงกำหนดไว้ในใจว่า "นอนหนอๆ" ๕. เมื่อนอนลงไปเรียบร้อยแล้ว พึงหลับตาและเริ่มกำหนดคือเอาจิตไปจดจ่อที่อาการเคลื่อนไหว ขึ้นลงของท้องขณะท้องพองขึ้น กำหนด ว่า "พองหนอ ๆ ๆ" ขณะใดท้องแฟบลงกำหนดว่า "ยุบหนอ" ขณะใดท้องพองขึ้นก็กำหนดว่า "พองหนอ" หรือกำหนด นอนหนอ ถูกหนอ ตามควรแก่สภาวะ หรือระยะนั้นๆ จนกระทั่งหลับไปอย่างมีสติ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงเริ่มต้นการกำหนดอย่างต่อเนื่องต่อไป ค. สิ่งที่พึงเว้นขณะกำหนดอาการนอน ๑. นอนลืมตาหรือพยายามใช้จิตเพื่อเพ่งดูสัณฐานบัญญัติ ๒. คอยจดจ้องดูว่าจะหลับขณะที่พองหรือยุบ (จะทำให้กังวลมาก) ๓. พลิกหรือขยับตัวไปๆ มาๆ บ่อยมากเกินไป ๔. บังคับลมหายใจเข้าเพื่อกำหนดพอง บังคับลมหายใจออกเพื่อกำหนดยุบ เพราะอาจเกิดอาการเหนื่อยหอบได้ หรืออาจเป็นสาเหตุทำให้นอนไม่หลับ เกิดอาการอ่อนเพลียและเป็นอุปสรรคแก่การกำหนดในวันต่อไป
ภุชิสโสสิ๊.................................................. อามะ ภันเต ๔. อะนะโณสิ๊.................................................. อามะ ภันเต ๕. นะสิ๊ ราชะภะโฏ........................................ อามะ ภันเต ๖. อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ.............................. อามะ ภันเต ๗. ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊.............................. อามะ ภันเต ๘. ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง.................................. อามะ ภันเต ๑. กินนาโมสิ.................................................. อะหัง ภันเต.............................................................................................. นามะ ๒.
ทุกขสมุทัยอริยสัจ ควรละเสีย ทุกขนิโรธอริยสัจ ควรทำให้แจ้ง อริยมรรคมีองค์แปด ควรเจริญ
จงอย่าคิดเอาเองว่า ตนเองยังมีบุญวาสนาน้อย ขอทำบุญทำทานไปก่อน หรืออินทรีย์ของตัวยังอ่อนเกินไป คิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง จงอย่าดูหมิ่นตัวเอง เมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติหรือเจริญสติใหม่ๆ จะเกิดการเผลอสติบ่อยๆจะเป็นอยู่หลายเดือน หรือบางทีอาจหลายปี แต่ฝึกบ่อยๆ เข้าก็จะค่อยๆระลึกรู้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขอให้พยายามทำความเพียรต่อไป ถ้าผิดก็เริ่มใหม่เพราะขณะใดที่รู้ว่าผิด ขณะนั้นจะเกิดการรู้ที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ประการที่สำคัญ คือ ต้องเลิกเชื่อมงคลตื่นข่าว และต้องไม่แสวงบุญนอกศาสนา จงอยู่แต่ใน ทาน ศีล สมาธิและภาวนา (บุญกิริยาวัตถุสิบ) ก็พอ ๑๖.
๓๐ น. ตั้งกองกฐินสามัคคี/นำส่งเงิน พร้อมรับผ้าไตร พระของขวัญ ๐๙. สาธุชนพร้อมกัน ณ พระมหาเจดีย์สมเด็จ ฯ ๑๐. ๐๐ น. ประธานในพิธีนำสาธุชน บูชาพระรัตนตรัย ทำวัตร เจริญภาวนา ๑๐. สัมโมทนียกถา โดย พระเดชพระคุณ พระปิฎกโกศล(เจ้าอาวาสฯ) ๑๑. ถวายภัตตาหารเพล สาธุชนรับประทานอาหารร่วมกัน ๑๒. สาธุชนนั่งในที่นั่งเดิม ผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพกองกฐิน รับผ้าไตรจากเจ้าหน้าที่ ๑๒. พิธีทอดกฐินสามัคคี ๑๓. ๔๕ น.
สติปัฏฐาน 4 ประการ สติปัฏฐาน คือ ที่ตั้งของสติ หมายถึง สิ่งที่จะต้องใช้สติกำหนดพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือตามที่สิ่งนั้น ๆ มันเป็นของมัน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง มี 4 ประการ คือ 1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ท่านจำแนกวิธีเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานไว้ 6 อย่าง คือ อานาปานสติ การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก อิริยาบถ การกำหนดรู้ทันอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน สัมปชัญญะ การกำหนดรู้ทันในการกระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่าง ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ ธาตุมนสิการ พิจารณาให้เห็นร่างกายโดยความเป็นธาตุแต่ละอย่าง นวสีวถิกา พิจารณาซากศพในสภาพต่าง ๆ 2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา คือมีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดเวทนาคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นทางกายและทางใจ ทั้งที่เป็นสุข ทั้งที่เป็นทุกข์ และที่เฉย ๆ ทั้งที่อิงอามิส และไม่อิงอามิส ที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้น ๆ ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา 3.
ขณะที่เข้าห้องน้ำถ่ายทุกข์หนัก-เบา หนาว-ร้อน หิว-กระหาย ก็ให้เจริญสติระลึกรู้ทุกครั้งไป ๘. ตอนกลางวัน ควรหาหนังสือธรรมะมาอ่าน หรือฟังเทปธรรมะสลับการปฏิบัติ ถ้าเห็นว่ามีอาการเบื่อหรืออ่อนล้า อาการดังกล่าวอาจเกิดจากการตั้งใจเกินไป หรืออาจปฏิบัติไม่ถูกทางก็เป็นได้ ให้เฝ้าสังเกตและพิจารณาด้วย ๙.